จำนวนการดูหน้าเว็บรวม

วันอังคารที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2562

“อะไร” ที่ไม่ควรใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์



“อะไร” ที่ไม่ควรใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์/ ดร.แพง ชินพงศ์
กระเป๋าสตางค์เป็นหนึ่งในของใช้ติดตัวที่มีความสำคัญมาก ถ้าใครเคยมีประสบการณ์ในการทำกระเป๋าสตางค์หาย คงจะรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่เดือดเนื้อร้อนใจอย่างสุดๆ ทีเดียว เพราะนอกจากจะสูญเสียเงินไปแล้ว ยังต้องมานั่งปวดหัวกับสิ่งของซึ่งเราเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ที่หายไปอีกด้วย เนื่องจากมีหลายท่านที่ชอบใส่สิ่งของต่างๆ ไว้เยอะแยะมากมายในกระเป๋าสตางค์ ดังนั้น การจำกัดสิ่งของบางอย่างที่ใส่ไว้ในกระเป๋าสตางค์จะช่วยไม่ให้เราสูญเสียทรัพย์สินและพบกับความร้อนใจมากเกินไป 5 สิ่งที่ไม่ควรใส่ในกระเป๋ามีดังนี้
       
       1. ใบเสร็จ หลายท่านชอบเก็บใบเสร็จไว้ในกระเป๋าสตางค์ เพราะต้องการเก็บข้อมูลว่าเราใช้จ่ายอะไรไปบ้างและเท่าไหร่ อีกประการหนึ่งคือ เผื่อว่า สินค้าที่ซื้อมาไม่ถูกใจและได้นำไปคืนได้ แต่ถ้าหากเราทำกระเป๋าสตางค์หาย ใบเสร็จที่เราเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์เป็นสิ่งที่บอกข้อมูลส่วนตัวต่างๆ ของเราได้ มีตัวเลขบัตรเครดิต 4 หลัก ชื่อ นามสกุล และหากต้องการลดหย่อนภาษีจะมีที่อยู่ของเรากำกับอยู่ด้วย ดังนั้น หากเราต้องการเก็บใบเสร็จควรเก็บไว้ที่อื่นที่ไม่ใช่ในกระเป๋าสตางค์เพื่อป้องกันเหตุดังกล่าว

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ใบเสร็จ

       
       2. บัตรเครดิต บางท่านมีบัตรเครดิตหลายอัน และขนบัตรเครดิตทุกอันเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ เมื่อเวลาหายขึ้นมาทีก็ต้องโทรศัพท์ยกเลิกเป็นพัลวัน ซึ่งเป็นการเสียเวลามาก กว่าจะเสร็จเผลอๆ หัวขโมยนำบัตรไปใช้ไม่รู้จักกี่ครั้งต่อกี่ครั้งแล้ว ดังนั้น เราควรเก็บบัตรเครดิตไว้ที่บ้าน พกพาไปเพียง 2 ใบ คือ บัตรกดเงินสดได้ และบัตรเครดิต 1 ใบเท่านั้น ที่เหลือเก็บไว้ที่บ้าน นอกจากนี้ การทำเช่นนี้ยังช่วยให้เราไม่จับจ่ายใช้สอยเกินความจำเป็นอีกด้วย
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ บัตรเครดิต
       
       3. โทรศัพท์มือถือ ปัจจุบันมีโทรศัพท์มือถือรุ่นใหม่มีช่องสำหรับเก็บเอกสารสำคัญเงินและบัตรส่วนตัวต่างๆ ของเราด้วย เราควรแยกโทรศัพท์มือถือ และกระเป๋าสตางค์ออกจากกัน เพราะจะเป็นเรื่องยุ่งยากมากเมื่อเราทำกระเป๋าสตางค์หาย แล้วเราไม่มีโทรศัพท์ในการติดต่อสื่อสารแจ้งเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ดังนั้น เราควรแยกโทรศัพท์มือถือ กับกระเป๋าสตางค์ ไม่ให้เก็บอยู่ในที่เดียวกัน
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ โทรศัพท์
       
       4. สมุดบัญชีธนาคาร มีหลายท่านที่เก็บสมุดบัญชีธนาคารต่างๆ เก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ด้วย ซึ่งเราไม่ควรจะทำเช่นนั้น เพราะเมื่อกระเป๋าสตางค์หาย สมุดบัญชีธนาคารต่างๆ เหล่านั้นจะเป็นช่องทางให้พวกหัวขโมยทั้งหลายไปปลอมแปลงเอกสารและจับจ่ายใช้สอยเงินในธนาคารของเราได้โดยง่าย ดังนั้น ควรเก็บสมุดบัญชีธนาคารต่างๆไว้ที่บ้านจะปลอดภัยกว่า

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สมุดบัญชีธนาคาร

       
        5. สมุดเช็ค สมุดเช็คที่ว่างเปล่าอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้พวกหัวขโมยเข้าไปใช้ได้โดยง่าย ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมาจะมีการอายัดเช็คแล้วก็ตาม แต่รหัสธนาคารและรายละเอียดต่างๆ ของท่านยังอยู่ที่ผู้ชิงทรัพย์ที่สามารถสืบเสาะได้ไม่ยาก
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ สมุดเช็คไทย
       
       นอกจากนี้ ยังมีสิ่งของที่เราไม่ควรจะเก็บไว้ในกระเป๋าสตางค์ ได้แก่ กุญแจ เครื่องประดับ และของมีค่าต่างๆ เราควรมีความรอบคอบในการดูแลป้องกันทรัพย์สินของตนเอง บทความนี้เป็นเรื่องสำคัญที่หลายๆ ท่านอาจมองข้ามไป ผู้เขียนจึงอยากเขียนมาเตือนว่าให้ทุกท่าน “กันไว้ดีกว่าแก้”
       
       ข้อมูลอ้างอิง
       
       http://finance.yahoo.com/news/dont-carry-these-5-things-in-your-wallet-152448746.html 

10 ของขวัญวาเลนไทน์ ที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก


10 ของขวัญวาเลนไทน์ ที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก

10 ของขวัญวาเลนไทน์ ที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก

ของขวัญวาเลนไทน์

เทศกาลแห่งความรักใกล้จะถึงเข้ามาทุกที....ปีนี้หรือปีไหนๆ เทศกาลแห่งความรักหรือวันวาเลนไทน์ ก็ยังคงดูเป็นวันที่โลกมีสีสันสดใส มีชีวิตชีวาอยู่ตลอด (แต่!!!....นั้นคงเฉพาะคนที่กำลังอินเลิฟ)


สาวๆ ที่กำลังกระชุ่มกระชวยหัวใจก็คงกระปรี้กระเปร่า ยิ้มรับรอให้ถึงวันแห่งความรักไวๆ เพื่อที่จะรอลุ้นว่าปีนี้ที่รักจะมีของอะไรมาเซอร์ไพรส์ จะเป็น ตุ๊กตาตัวเท่าแจ็คผู้ฆ่ายักษ์ ดอกไม้พันธุ์หายากช่อโต น้ำหอมจากปารีส รถเปิดประทุน หรือบ้าน(พร้อมหนี้สิน)กันน่ะ?
แต่สำหรับคนที่ยังโสดอยู่ ก็อย่าได้แคร์ ให้คิดซะว่าปีนี้ไม่ใช่ปีของเรา ปีหน้าๆๆๆๆ เป็นปีของเราแน่นอน อย่าได้เศร้าไปนะคะ วันวาเลนไทน์ทั้งที อย่ามัวนอนเศร้าโศกอยู่บ้าน เพราะเหตุผลที่ไม่มีแฟน มาจูงมือเพื่อนสาว(ที่โสดเหมือนกัน) ออกมาเริงร่าช้อปปิ้งกัน หาความสุขใส่ตัวดีกว่า
เข้าเรื่องต่อ หัวข้อก็บอกอยู่แล้วว่า สิ่งที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก รู้ไว้เป็นประโยชน์อย่างมากมาย โดยเฉพาะช่วงเทศกาลแห่งความรักอย่างนี้ (คนที่ไม่มีคู่ก็ควรรู้ไว้นะค่ะ ปีหน้าๆๆๆๆ คุณอาจจะมีคนรักเป็นของตัวเองบ้างก็ได้)
สิ่งต่อไปนี้เป็นความเชื่อที่ทิชชี่ไม่บังคับให้เชื่อ แต่เชื่อไว้บ้างก็ไม่เสียหายนะจ๊ะคุณๆ อย่าที่บอกว่าเชื่อไว้บ้างก็ดี ไม่เชื่อก็อย่าไปลบหลู่

ของขวัญวาเลนไทน์


เอาล่ะๆ มาเริ่มดูกันเลยดีกว่า สำหรับ 10 ของขวัญที่ไม่ควรซื้อให้คนรัก มีดังนี้

1 รองเท้า
ข้อนี้เด็ด ใครมีแฟนรีบเอาไปให้อ่านเลย เขาว่ากันว่าหากแฟนซื้อรองเท้าให้จะทำให้เลิกกัน เพราะรองเท้ามันต้องอยู่เป็นคู่ คนที่เป็นแฟนกันแต่ยังไม่ได้อยู่กันเป็นคู่ รองเท้าจึงเป็นอาถรรพ์ที่อาจจะทำให้เลิกกันได้ เรื่องนี้ขอบอกว่าเคยเกิดขึ้นกับหลายคนนะคะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รองเท้า
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
 
2 เสื้อผ้าชุดดำ
ข้อนี้น่ากลัวมากๆ ห้ามให้เสื้อผ้าชุดที่มีสีดำเป็นของขวัญโดยเด็ดขาด เพราะคนโบราณเขาถือ ไม่ว่าจะเป็นเสื้อ กางเกง กระโปรง ผ้าคลุม ผู้หลักผู้ใหญ่จะสอนอยู่เสมอว่า ถ้าเราให้ชุดดำใคร เราจะต้องได้ไปงานศพของคนนั้นนะคะ



3 นาฬิกา
ข้อนี้มาแนวถือเคล็ดซะมากกว่า เพราะหลายคนเชื่อหนักหนาว่า หากแฟนซื้อนาฬิกาให้ จะทำให้ระยะเวลาที่คบกัน อาจจะต้องหยุดลงเมื่อนาฬิกาเรือนนั้นหยุดเดิน ไม่ว่าสาเหตุมาจากอะไรก็ตาม

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ นาฬิกา
4 น้ำหอม
ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เพราะมีหลายคนที่เขาเชื่อ เขาแอบกระซิบบอกมาว่า ห้ามให้แฟนซื้อน้ำหอมให้เด็ดขาด เพราะความรักของคุณอาจจะจืดจางเหมือนกับกลิ่นของน้ำหอมที่จางหายไปตามกาลเวลา

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ น้ำหอม
5 รูปถ่าย
อีกสิ่งหนึ่งที่ห้ามให้เด็ดขาดนั้นก็คือ รูปถ่ายเดี่ยวๆ ของตัวเอง เพราะมันเปรียบเสมือนการให้รูปที่ระลึกไว้ดูต่างหน้าเวลาจากกัน อาถรรพ์นี้หลายคนเจอมาแล้ว หากใครไม่อยากให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย หลีกเลี่ยงเด็ดขาด!

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ รูปถ่าย

6 ผ้าเช็ดหน้า
ความหมายตรงตัวมากๆ ผ้าเช็ดหน้าส่วนใหญ่เขาไว้ใช้ทำอะไร คนรับของขวัญก็จะต้องใช้ทำอย่างนั้นหละ  ผู้ได้ผ้าเช็ดหน้าส่วนใหญ่จะนำไปใช้เช็ดน้ำตาซะด้วย ดังนั้นใครไม่อยากที่จะต้องเสียน้ำตาต้องเลี่ยงให้ของขวัญเป็นผ้าเช็ดหน้านะคะ

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ผ้าเช็ดหน้าน่ารัก

7 ของมีคม
อันนี้คงไม่เชิงความเชื่อ เพราะมีสิทธิ์เกิดขึ้นได้แน่นอน แต่เชื่อไว้ก็ไม่เสียหลาย พวกของมีคมอาวุธ ดาบ ของเล่น โมเดลต่างๆที่มีคม อย่านำเป็นของขวัญ เพราะจะทำให้ผู้รับได้รับอันตราย มีภัย โชคร้าย ไปด้วย

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ของมีคม
8 หวี
ถ้าเรามอบหวีให้กับแฟน หรือเพื่อนคนไหน จะทำให้ความสัมพันธ์ของเราและเขาต้องห่างกันเหมือนซี่ของหวีนั้นเอง

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ หวีน่ารัก

9 เข็มกลัด
ภายนอกอาจจะดูสวย แต่ภายในแฝงไปด้วยความหมายที่น่าเจ็บปวด เพราะเชื่อว่าหากให้เข็มกลัดแก่ใครจะเป็นการทิ่มแทงใจ สร้างความเจ็บปวด ขัดแย้งให้กับผู้รับคนนั้น



10 เครื่องแก้วต่างๆ
ของขวัญชิ้นนี้ หลายคนคงได้บ่อยซะด้วย จนถือเป็นของเชยไปแล้ว เพราะตามความเชื่อว่าถ้าเกิดเครื่องแก้วนั้นแตกขึ้นมา นั่นก็หมายถึงความสัมพันธ์ของทั้งสองคนเป็นอันแตกหัก แตกสลายตามของอย่างแน่นอน
พวกเราหวังว่าสิ่งที่เอามาฝากในวันนี้ คงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณผู้หญิงหรือคุณผู้ชายทุกคนที่กำลังมองหาของขวัญให้คนรู้ใจในเทศกาลแห่งความรักอยู่นะคะ เรื่องอย่างนี้เชื่อไว้บ้างก็ดีนะ แล้วเดี๋ยวจะหาว่าทิชชี่ไม่บอก ตอนนี้ทิชชี่ขอตัวไปหาซื้อของขวัญปลอบใจตัวเองรับ

เปลี่ยนพัดลมให้เย็นเหมือนแอร์ได้ง่าย แค่มีพัดลมกับงวดพลาสติก




แค่มีพัดลม กับขวดน้ำ ทำเป็นแอร์เย็นเฉียบได้ชิล ชิล
มาดูกันว่าต้องเตรียม ต้องทำอะไรกันบ้าง
อุปกรณ์ที่ต้องเตรียม
          -พัดลมตัวเล็กแบบตั้งโต๊ะ
          -ขวดพลาสติกเปล่า 2 ขวด
          -คัตเตอร์
          -ลวด
          -น้ำแข็ง
วิธีทำ
1.ใช้คัตเตอร์ผ่าบริเวณก้นขวดพลาสติกแบบไม่ต้องขาดออกจากกันทั้ง 2 ขวด
2.เจาะรอบๆ ขวดพลาสติกให้เป็นรู
3.ร้อยเส้นลวดเข้าไปในรูแล้วนำไปผูกไว้กับด้านหลังของพัดลมทั้ง 2 ขวด
4.ยึดขวดพลาสติกให้แน่นด้วยการใช้ลวดร้อยตรงปากขวดอีกรอบหนึ่ง
5.นำน้ำแข็งใส่ลงในขวดพลาสติกประมาณครึ่งขวด
6.เปิดใช้งานพัดลมตามปกติ
7.เมื่อน้ำแข็งละลายให้เปิดฝาขวดแล้วปล่อยให้น้ำละลายใส่แก้วเททิ้ง

การปลูกพริก /โรคพืชและแมลงศัตรูพืช


การปลูกพริก /โรคพืชและแมลงศัตรูพืช

โดย เจ้าของร้าน
เมื่อ 9 เดือนที่ผ่านมา

พริกเป็นพืชผักที่มีความสำคัญในการประกอบอาหารประจำวันสำหรับคนไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนไทยนิยมรับประทานอาหารที่มีรสชาติค่อนข้างเผ็ดจึงนิยมปลูกพริกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและมีการปลูกพริกเพื่อการค้า อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเครื่องปรุงแต่งรสเช่น พริกแห้ง พริกป่น น้ำพริกเผา น้ำพริกแกงและซอลพริกเป็นต้น
 พริกที่ปลูกกันมากในปัจจุบันสามารถแบ่งตามขนาดของผลพริกได้ ชนิดดังนี้
 1. พริกใหญ่ ได้แก่ พริกชี้ฟ้า พริกมัน พริกเหลือง พริกหยวก พริกยักษ์บางซอ
 2. พริกเล็กหรือพริกขี้หนู ได้แก่ พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกห้วยสีทน พริกจินดายอดสน พริกจินดาลาดหญ้า พริกขี้หนูสวน พริกหอม พริกเดือยไก่ พริกปากปวน พริกลูกผสมซูบเปอร์ฮอท
การจำแนกพริกตามความเผ็ด
สารแคปไซซิน เป็นสารที่ให้ความเผ็ดในพริก มีหน่วยเป็นสโควิลล์ (Scoville) โดยพริกที่มีความเผ็ดร้อยละ จัดเป็นพริกที่มีความเผ็ดมากที่ 100% หรือมีค่าเท่ากับ 175000 สโควิลล์ ซึ่งจำแนกออกเป็น ชนิด คือ
1. พริกเผ็ดมาก เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 70000-175000 สโควิลล์ พบได้ในพริกขนาดเล็ก มักนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่นพันธุ์ตาบาสโก

2. พริกเผ็ดปานกลาง เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 35000-70000 สโควิลล์ พริกชนิดนี้มักนำมาประกอบอาหาร เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกสีทน พริกช่อ มข. เป็นต้น

3. พริกเผ็ดน้อยหรือไม่เผ็ด เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 0-35000 สโควิลล์ มักเป็นพริกที่มีขนาดใหญ่ เนื้อหนา ผลมีลักษณะกลม สั้น มักนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น พริกหยวก พริกหวาน เป็นต้น
การจำแนกพริกตามขนาดผล
1. พริกใหญ่
เป็นพริกที่มีความยาวของผลมากกว่า เซนติเมตร ขึ้นไป แบ่งเป็น ชนิด คือ
– ผลยาวขนาดมากกว่า 5-10 เซนติเมตร ได้แก่ พริกมัน พริกชี้ฟ้า พริกเหลือง พริกบางช้าง ปลูกมากในจังหวัดเชียงใหม่ นครปฐม ราชบุรี และพื้นที่ภาคกลาง
– ผลยาวมากกว่า 10 เซนติเมตร ได้แก่ พริกหนุ่ม พริกสิงคโปร์ ปลูกมากในจังหวัดนครปฐม ราชบุรี และพื้นที่ภาคกลาง

2. พริกขี้หนู

เป็นพริกที่มีความยาวของผลไม่เกิน เซนติเมตร พริกขี้หนูแบ่งตามความยาวของผลเป็น ชนิด คือ
– พริกที่มีขนาดผลยาวมากกว่า 2-5 เซนติเมตร ลักษณะผลมีทั้งชี้ขึ้น และลง ได้แก่ พริกห้วยสีทน พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกชลบุรี เป็นต้น
– พริกที่มีขนาดผลยาวไม่เกิน เซนติเมตร ได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกกะเหรี่ยง พริกขี้หนูหอม พริกขี้นก

พริกขี้หนูแบ่งตามลักษณะการปลูกเป็น ชนิด คือ
– พริกขี้หนูสวน เป็นพริกที่พบปลูกตามสวน ปลูกในปริมาณน้อย มีอายุมากกว่า ปี มีขนาดทรงพุ่มเล็ก ลำต้นแข็งเป็นเหลี่ยม สูงประมาณ ฟุต กิ่งแตกออกมาก ใบกว้าง 2-3 นิ้ว ยาว 4-5 นิ้ว ดอกจะออก 1-3 ดอก ตรงจุดรวมของใบที่สาม ผลมีลักษณะชูตั้งตรง เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.2-0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ เซนติเมตร
– พริกขี้หนูไร่ เป็นพริกที่มากในพื้นที่ไร่ในปริมาณมาก มีอายุมากกว่า ปี สามารถเก็บผลได้หลายครั้ง มีลักษณะลำต้นใหญ่ และสูงกว่าพริกขี้หนูสวนที่ประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้นมีลักษณะแข็ง ใบมีขนาดเล็กกว่าพริกขี้หนูสวน ยาว 3-4 เซนติเมตร มีลักษณะเรียวแหลม แผ่น และขอบใบเรียบ ออกดอก 1-3 ดอก ก้านดอกยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ เซนติเมตร ซึ่งใหญ่ และยาวกว่าพริกขี้หนูสวนเล็กน้อย
พริกเป็นพืชในเขตร้อนหรือกึ่งร้อนที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร และสามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมที่สุดคือ ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขังหรือชื้นแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้อายุการปลูก ตั้งแต่ย้ายกล้าจนถึงเก็บเกี่ยว
พริกชี้ฟ้า พริกมัน พริกเหลือง อายุประมาณ 70 –90 วัน
 - พริกเล็กหรือพริกขี้หนู อายุประมาณ 60 -90 วัน
 - พริกยักษ์ อายุประมาณ 60 – 80 วัน
 ฤดูปลูกปลูกได้ตลอดปี แต่ปลูกได้ผลดีที่สุดระหว่างเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่เก็บผลผลิตในฤดูแล้งทำให้สะดวกในการตากแห้ง สำหรับการปลูกให้ได้ราคาสูงจะต้องปลูกในเดือนเมษายน-พฤษภาคม และสิงหาคม-กันยายนเป็นช่วงที่ปลูกพริกยากที่สุดการเตรียมเมล็ดพันธุ์ควรเลือกใช้พันธุ์พริกที่ตลาดมีความต้องการมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ปัจจุบันนิยมใช้พันธุ์ลูกผสมซูเปอร์ฮอท
สภาพที่เหมาะสมต่อการปลูก
1. อุณหภูมิ โดยพริกถือเป็นพืชที่ทนต่ออากาศร้อนได้ดี แต่ไม่ทนต่อสภาพอากาศหนาว อุณหภูมิที่ทำให้พริกเจริญเติบโต และติดดอก ติดผลได้ดีที่ตั้งแต่ 35 องศาเซลเซียส

2. ความชื้นดิน โดยพริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินชุ่มชื้น และระบายน้ำดี เหี่ยวตายได้ง่ายในสภาพน้ำขัง ต้องรดน้ำ1-2ครั้งเช้าบ่ายในช่วง1-2เดือนจากนั้นรดน้ำทุกเช้า

3. แสง เป็นส่วนที่มีผลน้อยต่อพริกในประเทศไทย เนื่องจากช่วงแสงในบ้านเรามีมากกว่า 12 ชั่วโมง จึงเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพริก พริกต้องการแสงแดดส่องทั่วถึงทั้งต้นไม่มีร่มเงาซึ่งจะให้ผลผลิตสูงสุด

4. ความเป็นกรด-ด่างของดิน ซึ่งสภาพความเป็นกรด-ด่างของดินที่เหมาะสมต่อพริกจะอยู่ช่วงประมาณ 6-7 มีลักษณะเป็นกรดเล็กน้อย แต่สามารถทนต่อสภาพดินเค็มได้ดี แต่หากสภาพดินเป็นกรดจัดอาจปรับสภาพดินด้วยปูนขาวทุกครั้งก่อนปลูกแต่ทั้งนี้ขอแนะนำปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัวขุน ขี้หมูเนื้อ ขี้ไก่เนื้อและน้ำหมักชีวภาพเพื่อปรับสภาพดิน

5. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งพริกมักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีความร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุ และระบายน้ำได้ดี รวมถึงแร่ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่เป็นธาตุอาหารหลักและสารฉีดพ่นทางใบที่เป็นธาตุอาหารรองที่เพียงพอต้นพริกได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนก็จะสมบูรณ์แข็งแรงติดดอกออกผลและต้านทานโรคได้ดี
วิธีการเพาะเมล็ดพริก
การเพาะเมล็ดพริกในแปลงเพาะชำ
1.ก่อนนำเมล็ดพันธุ์ไปเพาะ คัดเมล็ดพันธุ์ที่ไม่สมบูรณ์ออกโดยนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำสะอาดเมล็ดพันธุ์ที่เสียจะลอยน้ำแล้วคัดออก
2.นำไปแช่น้ำอุ่นที่อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานประมาณ 30 นาที
3. ใช้สาหร่ายผงในอัตราส่วน10กรัม/น้ำ20ลิตร เชื้อราไตรโครเดอร์มา 200ซีซี/น้ำ20ลิตร สารจับใบสำหรับชีวภัณฑ์ 2ซีซี/น้ำ20ลิตร ผสมเข้าด้วยกันนำเมล็ดพริกลงแช่นาน18คืนก่อนนำไปเพาะกล้า
4.การเพาะเมล็ดพันธุ์ในแปลงนำเมล็ดพันธุ์หว่านให้กระจายทั่วทั้งแปลงเพาะ หรือโรยเมล็ดเป็นแถวลงไปในร่องลึก 0.6–1 ซม. ห่างกันแถวละประมาณ 10 ซม. กลบด้วยปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วหรือดินผสมละเอียดรดน้ำให้ชุ่มเสมอ คลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้งบางๆ รดด้วยน้ำเชื้อราไตรโคเดอร์มาที่ผสมตอนแช่เมล็ดพริก
5.เมื่อกล้าเริ่มงอกมีใบจริงอายุประมาณ 12–15 วัน ถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์หรือต้นที่ขึ้นเบียดกันแน่นเกินไปทิ้งให้มีระยะห่างกันพอสมควรและควรให้ใช้สารสกัดขยายเซลพืชเสริมทางใบเพื่อให้ต้นกล้าเจริญเติบโตและแข็งแรง เมื่อต้นกล้าอายุ 30–40 วัน จึงย้ายลงปลูกในแปลงใหญ่ได้
การเพาะเมล็ดพันธุ์ในกระบะเพาะการเพาะในถาดหลุมมีวัสดุเพาะเมล็ดเป็นส่วนผสมสำเร็จรูปที่อุ้มน้ำได้พอเหมาะ แต่ละถาดมี104 หลุม วัสดุเพาะ
เมล็ดพริกกรัมมีประมาณ200-250เม็ด ใส่ถาดเพาะได้2ถาด เทคนิคการเพาะที่ทำให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ก่อนย้ายปลูกจะต้องเพาะเมล็ดให้งอกก่อนในวัสดุเพาะอย่างอื่นเช่นทรายผสมแกลบดำ พีทมอสและขุยมะพร้าวเมล็ดจะงอกใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน หลังจากนั้นจึงย้ายไปปลูกในวัสดุเพาะสำเร็จรูปที่อยู่ในถาดเพาะใช้เวลาอีก 14-18 วันจึงนำต้นกล้าย้ายปลูกได้
การเตรียมดินปลูกการเตรียมดินปลูกพริกนั้น ควรพิจารณาความแตกต่างตามสภาพของดินและระดับน้ำดังนี้ คือ
1. การเตรียมดิน ควรขุดหรือไถดินให้ลึกประมาณ 15 ซม. ตากดิน 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วประมาณ 20 กก. ต่อเนื้อที่ ตารางเมตร ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาและสารสกัดฮิวมิคผงผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่วแปลงปลูกเพื่อป้องกันเชื้อราโรคพืชที่อยู่ในดินจากนั้น พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียด
2. การเตรียมดินปลูกในเขตอาศัยน้ำฝน ต้องพิจารณาเลือกที่ซึ่งระบายน้ำได้ดี การกำหนดแถวปลูกให้กำหนดแถวคู่ห่างกัน 1.20 ม. และให้ระยะระหว่างแถวห่างกัน 0.50 ม. ระยะระหว่างต้น 0.50 X 0.50 ม. เมื่อเตรียมแปลงปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยหมักหรือขี้วัวขุนหรือขี้หมูเนื้อ ในอัตราไร่ละ 1,200 – 3,000 กก. ทำการคลุกปุ๋ยคอกให้เข้ากับดินแล้วใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50 กก. ต่อไร่ ในการปลูกพืชที่ต้องการปริมาณน้ำหรือพืชชอบน้ำนั้นเกษตรกรต้องทำการยกร่องแปลงเสมอเพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณโคนต้น และการปลูกพริกก็เช่นเดียวกัน
การยกแปลงปลูกพริก
แปลงที่ใช้ปลูกควรไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วม และสามารถระบายน้ำได้ดีหากฝนตก ซึ่งให้เตรียมแปลง ดังนี้
1.หากเป็นแปลงใหม่ ควรไถตากดินพร้อมกำจัดวัชพืช นาน สัปดาห์
2.ทำการหว่านปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ หากดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาว 100-200 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบยกร่องแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 40-60 เซนติเมตร
3.แปลงกว้างขนาด 30-50 สำหรับปลูกแถวเดี่ยว แปลงกว้าง 80-100 สำหรับปลูกแถวคู่ ขึ้นอยู่กับทรงพุ่มของแต่ละพันธุ์
4.ปรับระดับแปลง พร้อมกำจัดวัชพืช และตากดินพร้อม 2-3 วัน
วิธีการปลูก
เมื่อต้นกล้ามีอายุ 30-40 วัน สูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร มีใบจริง 5-7 ใบ และให้งดน้ำต้นกล้า 2-3 วันก่อนย้ายปลูก โดยมีขั้นตอนปลูก ดังนี้
1.ขุดหลุมในระยะห่างระหว่างหลุม 50-80 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับทรงพุ่มของแต่ละพันธุ์
2.นำกล้าที่ถอนเตรียมไว้ลงหลุมปลูก ปลูกให้ลึกพร้อมพร้อมกลบดินให้แน่นพอประมาณเพื่อกันต้นกล้าโยกเอียง
3.รดน้ำให้ชุ่ม และรดทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง
การปฏิบัติดูแลรักษา
 1. การให้น้ำพริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอในช่วงแรกของการเจริญเติบโตดินควรมีความชุ่มชื้นพอดีอย่าให้เปียกแฉะเกินไปจะทำให้ต้นพริกเหี่ยวตายได้ ในช่วงเก็บผลผลิตควรลดการให้น้ำเพื่อจะทำให้คุณภาพผลผลิตดี สีของผลสวยน้ำควรเป็นน้ำสะอาดหรือผ่านบ่อพักน้ำปกติแล้วเกษตรกรมักจะใช้น้ำในแม่น้ำลำคลองซึ่งมีการปนเปื้อนของสารเคมีหรือเชื้อโรคพืชต่างๆเข้ามาใช้ในแปลงผักในสมัย10หรือ20ปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ทำได้แต่ในปัจจุบันระบบต่างๆเปลี่ยนแปลงไปน้ำมีการปนเปื้อนทั้งสารเคมีและเชื้อโรคพืช ลักษณะน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเป็นต้น
การให้น้ำทำให้2วิธี
1.1การให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์ เป็นวิธีที่เกษตรกรใช้กันมาช้านาน เป็นสปริงเกอร์แบบใบพัดหมุนวน
ข้อดีคือน้ำกระจายตัวไปทั่วแปลงจ่ายปริมาณน้ำได้สูงใช้เวลาสั้นในการให้น้ำสร้างความชุ่มชื้นให้ต้นพริกและแปลงปลูกและยังช่วยไล่แมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย
ข้อเสียคือ เกิดเชื้อโรคพืชได้ง่ายเนื่องจากความชื้นหลีกเลี่ยงการรดน้ำต้นพริกตอนเย็น และในกรณีที่แหล่งน้ำไม่สะอาดมีการปนเปื้อนของสารเคมีจากแหล่งน้ำก็จะมีผลต่อต้นพริก
1.2มินิสปริงเกอร์แบบหัวฉีดฝอย ระบบนี้เหมาะกับการปลูกพริกต้นคู่ในแปลงปลูกเดินท่อpeตรงกลางแถวคู่และเปิดจ่ายน้ำผ่านหัวมินิสปริงเกอร์แบบฉีดฝอยรัศมีความกว้างของน้ำสามารถควบคุมได้โดยแรงดันจากปั๊มน้ำระบบนี้สามารถปล่อยปุ๋ยไปพร้อมกับระบบน้ำได้
ระบบนี้ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นการสร้างความชื้นให้ทั่วหน้าดินและรดใต้ทรงพุ่มเท่านั้น ข้อเสียคือต้องใช้เวลาในการให้น้ำนานการระบบสปริงเกอร์แบบใบพัดและหัวฉีดอุดตันได้ง่ายกว่าดังนั้นน้ำที่ใช้ต้องผ่านระบบกรองที่ดีพอสมควรไม่มีเศษใดๆหรือลูกปลาลูกกุ้งเข้ามาในระบบการให้น้ำ
ในที่นี้ไม่แนะนำระบบน้ำหยดในการปลูกพริก
2. การกำจัดวัชพืช ในระยะที่ต้นพริกยังเล็กควรมีการกำจัดวัชพืชให้บ่อยครั้ง หากวัชพืชคลุมต้นพริกช่วงระยะการเจริญเติบโต จะทำให้แคระแกร็นคุณภาพผลผลิตไม่ดี การกำจัดวัชพืชอาจใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็นขอแนะนำกรัมม็อกโซนยาฆ่าหญ้าฉีดกดหัวต่ำๆหน้าดินที่มีวัชพืชหรือใช้แรงงานคนถอนหรือหาวัสดุคลุมหน้าดินเช่นฟางหรือหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นต้น
 3. การใส่ปุ๋ย พริกเป็นพืชที่มีอายุการเก็บผลค่อนข้างยาวนาน ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบเช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ในอัตรา 25-50กก.ต่อไร่ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อเป็นการช่วยเสริมการเจริญเติบโตนอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยน้ำทางใบบ้างโดยทำการฉีดพ่นทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลต่อพืชสูงสุดขึ้นอยู่กับสภาพและคุณสมบัติของดินโดยเฉพาะ pH ความชื้นและระยะการเจริญเติบโตของพืชอีกทั้งปริมาณอินทรียวัตถุที่อยู่ในดินซึ่งจะต้องมีอย่างเหมาะสมอย่างเช่นถ้าดินเป็นกรดต้องใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพดินให้มี pH ค่อนข้างเป็นกลาง การใส่ปุ๋ยมีลงในดินจำเป็นต้องมีความชื้นอย่างเพียงพอถ้าไม่เช่นนั้นปุ๋ยเคมีไม่ละลายจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชเลยบางครั้งอาจใช้วิธีละลายปุ๋ยเคมีด้วยน้ำให้มีความเข้มข้นพอดีปกติจะใช้ปุ๋ยเคมีประมาณ 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรแล้วนำไปรดซึ่งจะเป็นการประหยัดปุ๋ยอย่างมากการใส่ปุ๋ยควรแบ่งใส่ ครั้ง ใส่ครั้งแรกปริมาณครึ่งหนึ่งก่อนปลูกเป็นปุ๋ยรองพื้นพรวนกลบลงในดินโรยปุ๋ยไนโตรเจนใส่ข้างต้นพริกห่างจากโคนพริกประมาณ นิ้ว เมื่ออายุ 10 -14 วัน หลังจากย้ายกล้า ใส่ครั้งที่สองปริมาณอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือใส่โรยข้างแล้วแต่งหน้าด้วยปุ๋ยไนโตรเจนพรวนกลบลงในดิน
หรืออีก1สูตรคือ  การให้ปุ๋ย ระยะ เดือนแรก ก็ให้ปุ๋ยทางดินร่วมกับทางใบเป็นหลัก โดยการให้ทางดินก็ให้สูตร 46-0-0 สลับกับ 15-0-0  หรือ 15-15-15ในเดือนแรกในอัตรา5กิโลกรัมต่อ/ไร่/ครั้งแต่ไม่เกิน10กิโลกรัมต่อ/ไร่/ครั้งห่างกัน วัน ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 30-20-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ในอัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ระยะเดือนที่ 2-3 ระยะนี้พริกมีอายุ30-90 วันซึ่งมีการติดผลของพริกในชุดแรกธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม  ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ส่วนทางใบใช้สารสกัดขยายเซลพืชเพื่อเพิ่มธาตุแคลเซียมในช่วงติดผลเล็กและช่วยในการเร่งดอกติดผล ในอัตรา 30กรัม/ น้ำ 20 ลิตรระยะเดือนที่ 4-6 ระยะนี้พริกมีอายุ 120-180 วันซึ่งมีการเก็บผลผลิตของพริกในชุดแรกเก็บได้มากธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิมทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ร่วมกับปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโคเดอร์มาสด อัตรา 1 : 25 ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 10-20-30 ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ให้ปุ๋ยทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตจำหน่าย
แต่ทั้งนี้ขอแนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีเท่าที่จำเป็นเนื่องจากปุ๋ยเคมีจะสร้างความเป็นกรดให้กับดินและมีผลเสียในระยะยาว ปุ๋ยที่ดีและมีธาตุอาหารหลักและอาหารรองครบคือปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ขี้วัวขุน ขี้หมูขุน ขี้ไก่เนื้อ ปุ๋ยหมัก เป็นต้นซึ่งจะปลดปล่อยสารอาหารได้แบบต่อเนื่องที่สำคัญรสชาดของพืชผักจะให้คุณภาพที่ดีมากกว่าใช้ปุ๋ยเคมี
5. การเก็บเกี่ยว
                  - หลังจากปลูก  70-75  วัน
                  - เก็บเกี่ยว 15-18  วันครั้ง (  10-12  ครั้ง /รุ่น)
                  - ก่อนเก็บเกี่ยว  7  วัน  ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15    อัตรา ช้อนโต๊ะ  ต่อต้น ทำให้ต้นสมบูรณ์
                     แตกยอด ออกดอก
            - หลังจากเก็บเกี่ยว 4-5 ครั้ง ใส่ปุ๋ยสูตร  13-13-21 อัตรา ช้อนโต๊ะ/ต้น เพื่อเพิ่มผลผลิต
                 - ฉีดฮอร์โมนหลังการเก็บเกี่ยว แต่ละครั้ง เพื่อให้การแตกยอด  ออกดอก  ติดผล ดี
                - ค่าเก็บเกี่ยว  กิโลกรัมละ  8 -10  บาท ขึ้นอยู่กับราคาพริก 
   5. ผลผลิต เฉลี่ย  ไร่ละ  2200-2500  ก.ก/ไร่ 
   6. ต้นทุนการผลิต เฉลี่ย  12,000 - 13,000 บาท ต่อไร่ 
 3. การป้องกันกำจัดศัตรูพริกนอกจากการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย หรือการกำจัดวัชพืชแล้ว ยังมีศัตรูพริกต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตการปลูกพริกเป็นอย่างมาก ซึ่งศัตรูพริกที่สำคัญที่พบได้โดยทั่วไปมี ดังนี้
 1.แมลงพบระบาดในพริกบ่อยๆ คือ
 มะนาวแป้นแม่ลูกดก นครปฐม
1.1.เพลี้ยไฟ ชื่อวิทยาศาสตร์Scirtothrips dosalis Hood รูปร่างลักษณะและชีวประวัติเป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวแคบยาว มีความยาวประมาณ 1-2 มม. ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาลปนเหลือง ขอบปีกมีขนเป็นแผง เพลี้ยไฟมักพบอยู่บนใบและยอดอ่อนอีกทั้งพบบริเวณฐานดอก และขั้วผลอ่อน ขณะที่หากินไม่ชอบเคลื่อนย้ายตัว และเมื่อมีการกระทบกระเทือนจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว มีการขยายพันธุ์ทั้งแบบผสมพันธุ์และไม่ต้องผสมพันธุ์ ตัวเมียมีอายุประมาณ 15 วัน และได้รับการผสม จะออกไข่ได้ประมาณ 40 ฟอง ตัวเมียที่ไม่ผสมพันธุ์ออกไข่ได้ประมาณ 30 ฟอง วงจรชีวิตจากไข่ถึงตัวเต็มวัยประมาณ 15 วัน ระยะไข่ 4 -7 วัน ตัวอ่อนวัยที่1-2 วัน วัยที่ 2-4 วัน วัยที่ ฟักตัว วัน จึงเป็นตัวเต็มวัยสมบูรณ์การทำลาย เพลี้ยไฟจะระบาดมากในฤดูแล้ง หรือเมื่อมีฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน โดยจะทำลายใบอ่อนและตาดอก ลักษณะการทำลายใบจะห่อปิด ขอบใบม้วนขึ้นข้างบน ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโตและจะทำลายผลพริกให้หงิกงอไม่ได้คุณภาพรูปร่างลักษณะ เพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน ลำตัวผอมยาว มีขนาด 1.0 มิลลิเมตรหากดูด้วยตาเปล่าจะต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษจึงจะมองเห็นได้ ตัวแก่มีปี ก คู่เรียวยาวประกอบด้วยขนเส้นเล็ก ตัวอ่อนจะยังไม่มีปีกและมีขนาดเล็กกว่าตัวแก่ ตัวแก่เคลื่อนไหวได้เร็วการป้องกันกำจัด เพลี้ยไฟชอบหลบอยู่ตามใต้ใบ ตามซอกยอดอ่อนในดอก เวลาพ่นควรใช้เครื่องมือที่สามารถพ่นได้อย่างทั่วถึงการเลือกยาที่เหมาะสมควรทำดังนี้คือ ถ้าปลูกพริกในแหล่งที่มีการระบาดมานาน ควรเลือกใช้ยาที่ทำลายได้เฉพาะ เช่น อิมิดาคลอพิด (โปร)ซึ่งควรใช้ในช่วงที่แมลงระบาดรุนแรงในสวนเกษตรอินทรีย์สามารถที่จะใช้สารชีวภัณฑ์ บิวเวอร์เรีย บาเซียน่าจัดการกับเพลี้ยไฟได้ดี หรือใช้ระบบให้น้ำแบบสปิงเกอร์ช่วยในการไล่แมลงหรือไข่แมลง
1.2.แมลงวันพริก (Dacus latifon) เป็นแมลงศัตรูพริกที่มีความสำคัญมากถ้ามีการระบาดสามารถทำลายผลผลิตให้เกิดความเสียหายได้มากถึง 60-100% เพศเมียวางไข่ที่ผลพริกเมื่อไข่ฟักออกมาจะทำให้ผลพริกเน่าเสียและร่วงหล่น การป้องกันกำจัดเก็บผลพริกที่ร่วงหล่นทำลายโดยการแช่น้ำไว้1-2 คืนแล้วนำไปทำปุ๋ยหมัก ใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ ถ้าจำเป็นจริงจึงควรใช้สารเคมี เช่น อิมิดาโคพิด(โปร) ผสมน้ำพ่นในแปลงพริกช่วง พริกติดผล
สารเคมีกำจัดแมลง,แมลงหวี่ขาว,เพลี้ยไฟ,เพลี้ยอ่อน,ปลวก,ด้วง,หนอน,อิมิดาคลอพริด,imidacloprid
1.3.เพลี้ยอ่อนพริกเป็นแมลงปากดูดชนิดหนึ่งที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วป้องกันกำจัดพ่นด้วยปิโตรเลียมออย หรือเชื้อราบิวเวอร์เรียกำจัดได้
สารเคมีกำจัดแมลง,แมลงหวี่ขาว,เพลี้ยไฟ,เพลี้ยอ่อน,ปลวก,ด้วง,หนอน,อิมิดาคลอพริด,imidacloprid
1.4.แมลงหวี่ขาวพริก
เป็นแมลงปากแทงดูดเป็นพาหะนำโรคไวรัสมาสู่ต้นพืชควรรีบป้องกันกำจัดเช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อนพ่นด้วยปิ โตรเลียมออย ใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ ลักษณะการทำาลายของแมลงวันพริกตัวเต็มวัยใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในผลพริกและวางไข่หลังจากนั้นหนอนจะฟักออกจากไข่และกัดกินอยู่ภายในผลพริกทำาให้ผลพริกเน่าเสีย
1.5ไรขาว
 การทำลาย ไรขาวจะพบว่ามีการระบาดในช่วงฤดูที่มีการปลูกพริกกันมาก โดยไรขาวจะเข้าทำลายที่ยอดก่อน เมื่อเป็นหลายๆ ยอดจะดูเป็นพุ่มใบพริกจะหงิกงอ ใบอ่อนหยาบย่นหรือเป็นคลื่นขอบใบม้วนลงทางด้านล่าง ใบจะค่อยๆ ร่วง และยอดจะตายไปในที่สุดรูปร่างลักษณะ ไรขาวเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแมงมุม มี ขา ตัวกลม มีสีขาวผิวลำตัวใสขนาดเล็กมาก สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าจะดูให้ชัดเจนมีรายละเอียดมากขึ้นต้องใช้แว่นขยายมักจะชอบอาศัยอยู่ตามใบอ่อนหรือตาดอกการป้องกันกำจัด หมั่นตรวจดูแปลงพริกเสมอๆ เมื่อพบไรขาวในปริมาณมากให้รีบกำจัดด้วยสารเคมี เคลเทนหรือไดโฟคอล และเลบโตฟอส หรือฟอสเวล เป็นต้น แต่ถ้าตรวจพบว่ามีการระบาดของเพลี้ยไฟ และไรขาวพร้อมกัน ควรใช้สารเคมีกำจัดของทั้งสองชนิดฉีดพ่นพร้อมกันเลย จะได้ผลสมบูรณ์ขึ้นหรือใช้กำมะถันที่อยู่ในรูปผงผสมน้ำพ่น 2-3ครั้งห่างกัน วัน ถ้ายอดอ่อนปกติหยุดพ่นหรือใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ
โรค โรคที่เกิดจากเชื้อรา แล้วมีผลเสียหายต่อการปลูกพริกที่พบได้ในขณะนี้ มีดังนี้
1. โรคกุ้งแห้งหรือแอนแทรคโนสในพริก มีสาเหตุมาจากเชื้อรา พบระบาดมากในระยะที่ผลผลิตพริกกำลังเจริญเติบโตการทำลาย โรคกุ้งแห้งจะเห็นได้ชัดเจนบนผลพริกที่แก่จัดหรือสุก อาการเริ่มแรกจะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาล ช้ำเนื้อเยื่อบุ๋มไปจากเดิมเล็กน้อยและจุดสีน้ำตาลจะค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเป็นแผลวงกลมหรือวงรีโดยมีขนาดแผลไม่จำกัด จะทำให้ผลพริกเน่า และจะระบาดติดต่อกันอย่างรวดเร็วการป้องกันกำจัดก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มา1ชั่วโมง
2. โรคเหี่ยวเขียวของพริกจากเชื้อราหรือโรคหัวโกร๋นการทำลาย โรคนี้จะแตกต่างจากอาการเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยอาการเหี่ยวจากเชื้อราจะเริ่มจากใบล่างก่อน แล้วจึงค่อยแสดงอาการที่ใบบน ต่อมาใบที่เหลืองจะเหี่ยวลู่ลงดินและร่วง ต้นพริกจะแสดงอาการในระยะผลิดอกออกผล ฉะนั้น อาจทำความเสียหายต่อดอกและลูกอ่อนด้วย เมื่อตัดดูลำต้นจะพบว่าเนื้อเยื่อท่อลำเลียงอาหารเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลไหม้ แสดงว่าต้นจะเหี่ยวตายในที่สุด
  การป้องกันกำจัด
1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุก10วัน โดยฉีดพ่นทั้งต้นและเน้นที่บริเวณดินรอบๆโคนต้นพริก
2. ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ให้มากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันดินเป็นกรด และเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน
3. ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
4.ในกรณีที่มีบ้างต้นเริ่มเป็นให้ใช้ แมกมา แบคทีเรียกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียฉีดพ่น3ครั้งติดต่อกันห่างกัน3วันให้ทั่วแปลงพริก แต่โดยปกติในกรณีที่เกษตรกรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมป้องกันโรคพืชเป็นประจำอยู่แล้วโรคเหี่ยวเขียวในพริกจะไม่เกิดขึ้น
3. โรคโคนเน่าหรือต้นเน่าการทำลาย ใบจะเหลืองและร่วง โคนต้นและรากจะเน่าเปื่อยเป็นสีน้ำตาล ต้นพริกจะเหี่ยวตาย แต่จะระบาดมากในระหว่างที่มีการผลิดอกออกผล อาการของโรคเน่าหรือต้นเน่านี้จะแตกต่างกับโรคพริกหัวโกร๋นคือ ยอดจะไม่หลุดร่วงไป
 การป้องกันกำจัด
1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุก10วัน โดยฉีดพ่นทั้งต้นและเน้นที่บริเวณดินรอบๆโคนต้นพริก
2. ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ให้มากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันดินเป็นกรด และเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน
3. ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
4.ในกรณีที่มีบ้างต้นเริ่มเป็นให้ใช้ บีเอส บอบม์ แบคทีเรียกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราฉีดพ่น3ครั้งติดต่อกันห่างกัน3วันให้ทั่วแปลงพริก แต่โดยปกติในกรณีที่เกษตรกรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมป้องกันโรคพืชเป็นประจำอยู่แล้วโรคเหี่ยวเขียวในพริกจะไม่เกิดขึ้น
สารเคมีกำจัดแมลง,แมลงหวี่ขาว,เพลี้ยไฟ,เพลี้ยอ่อน,ปลวก,ด้วง,หนอน,อิมิดาคลอพริด,imidaclopridแบคทีเรียสาเหตุโรคพืช,จุลินทรียฺกำจัดโรคพืช,ผักเน่า,โคนเน่า,โรคพืช,สารชีวภัณฑ์,แมกมา,โรคเหี่ยวเขียว,พืชเหี่ยว,ต้นเหี่ยว,หัวเน่าสารชีวภัณฑ์,สารชีวภาพ,รากเน่า,โคนเน่า,โรครากและโคนเน่า,สารกำจัดโรครากเน่า,โรคของราก,กำจัดโรครากและโคนเน่าในพืช
 การเก็บพริกทำพริกแห้งควรเลือกเก็บพริกที่แก่จัดสีแดงสดตลอดทั้งผล ปราศจากโรคแมลง เข้าทำลายแล้วรีบนำไปทำให้แห้งโดยเร็วจะทำให้ได้พริกแห้งที่มีสีสวยและคุณภาพดีการทำพริกแห้งให้มีสีสวยคุณภาพดี มีหลายวิธีดังนี ้
 1. การตากแดด คือการนำพริกที่คัดเลือกแล้วน ามาตากแดดโดยตรง แผ่พริกบางๆ บนเสื่อ หรือพื้นบานซีเมนต์ที่สะอาด โดยตากแดดทิ้งไว้ 5 –7 แดด
2. การอบด้วยไอร้อน คือการนำพริกเข้าอบด้วยอำร้อนในเตาอบโดยวางพริกบนตระแกรง แล้ววางตะแกรงเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ วิธีนี้เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ปลูกพริกเป็นจำนวนมาก และการทำพริกแห้งในช่วงฤดูฝน
3. การลวกน้ำร้อน คือ การนำพริกไปลวกน้ำร้อนก่อน โดยลวกนาน 15 นาที แล้วนำไปตากแดดประมาณ แดด วิธีนี้จะทำให้สีของพริกแห้งสวย และไม่ขาวด่าง
4. การอบพริกด้วยโรงอบพลังแสงอาทิตย์ เป็นวิธีที่ทำให้ได้พริกที่มีคุณภาพดี สีสวย ก้านพริกแห้งสีทองไม่ดำ สะอาดไม่มีฝุ่นจับอบได้ครั้งละ 400 กก. ใช้เวลาอบประมาณ วัน
5. ในกรณีที่เก็บพริกแก่จัด แต่ไม่แดงตลอดทั้งผลให้นำพริกใส่รวมกันในเข่งหรือกระสอบปุ๋ยบ่มไว้ในที่ร่มประมาณ คืน เพื่อทำให้พริกสุกสม่ำเสมอกัน หลังจากนั้นทำให้แห้งได้ตามกรรมวิธีข้อ 1 – 4