พริกเป็นพืชผักที่มีความสำคัญในการประกอบอาหารประจำวันสำหรับคนไทยเป็นอย่างมาก เนื่องจากคนไทยนิยมรับประทานอาหารที่มีรสชาติค่อนข้างเผ็ดจึงนิยมปลูกพริกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและมีการปลูกพริกเพื่อการค้า อีกทั้งเป็นผลิตภัณฑ์แปรรูปเครื่องปรุงแต่งรสเช่น พริกแห้ง พริกป่น น้ำพริกเผา น้ำพริกแกงและซอลพริกเป็นต้น
พริกที่ปลูกกันมากในปัจจุบันสามารถแบ่งตามขนาดของผลพริกได้ 2 ชนิดดังนี้
1. พริกใหญ่ ได้แก่ พริกชี้ฟ้า พริกมัน พริกเหลือง พริกหยวก พริกยักษ์บางซอ
2. พริกเล็กหรือพริกขี้หนู ได้แก่ พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกห้วยสีทน พริกจินดายอดสน พริกจินดาลาดหญ้า พริกขี้หนูสวน พริกหอม พริกเดือยไก่ พริกปากปวน พริกลูกผสมซูบเปอร์ฮอท
การจำแนกพริกตามความเผ็ด
สารแคปไซซิน เป็นสารที่ให้ความเผ็ดในพริก มีหน่วยเป็นสโควิลล์ (Scoville) โดยพริกที่มีความเผ็ดร้อยละ 1 จัดเป็นพริกที่มีความเผ็ดมากที่ 100% หรือมีค่าเท่ากับ 175000 สโควิลล์ ซึ่งจำแนกออกเป็น 3 ชนิด คือ
1. พริกเผ็ดมาก เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 70000-175000 สโควิลล์ พบได้ในพริกขนาดเล็ก มักนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่นพันธุ์ตาบาสโก
2. พริกเผ็ดปานกลาง เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 35000-70000 สโควิลล์ พริกชนิดนี้มักนำมาประกอบอาหาร เช่น พริกขี้หนู พริกชี้ฟ้า พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกสีทน พริกช่อ มข. เป็นต้น
3. พริกเผ็ดน้อยหรือไม่เผ็ด เป็นพริกที่มีความเผ็ดในช่วง 0-35000 สโควิลล์ มักเป็นพริกที่มีขนาดใหญ่ เนื้อหนา ผลมีลักษณะกลม สั้น มักนำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น พริกหยวก พริกหวาน เป็นต้น
การจำแนกพริกตามขนาดผล
1. พริกใหญ่
เป็นพริกที่มีความยาวของผลมากกว่า 5 เซนติเมตร ขึ้นไป แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ
– ผลยาวขนาดมากกว่า 5-10 เซนติเมตร ได้แก่ พริกมัน พริกชี้ฟ้า พริกเหลือง พริกบางช้าง ปลูกมากในจังหวัดเชียงใหม่ นครปฐม ราชบุรี และพื้นที่ภาคกลาง
– ผลยาวมากกว่า 10 เซนติเมตร ได้แก่ พริกหนุ่ม พริกสิงคโปร์ ปลูกมากในจังหวัดนครปฐม ราชบุรี และพื้นที่ภาคกลาง
2. พริกขี้หนู
เป็นพริกที่มีความยาวของผลไม่เกิน 5 เซนติเมตร พริกขี้หนูแบ่งตามความยาวของผลเป็น 2 ชนิด คือ– พริกที่มีขนาดผลยาวมากกว่า 2-5 เซนติเมตร ลักษณะผลมีทั้งชี้ขึ้น และลง ได้แก่ พริกห้วยสีทน พริกจินดา พริกหัวเรือ พริกชลบุรี เป็นต้น– พริกที่มีขนาดผลยาวไม่เกิน 2 เซนติเมตร ได้แก่ พริกขี้หนูสวน พริกกะเหรี่ยง พริกขี้หนูหอม พริกขี้นกพริกขี้หนูแบ่งตามลักษณะการปลูกเป็น 2 ชนิด คือ– พริกขี้หนูสวน เป็นพริกที่พบปลูกตามสวน ปลูกในปริมาณน้อย มีอายุมากกว่า 1 ปี มีขนาดทรงพุ่มเล็ก ลำต้นแข็งเป็นเหลี่ยม สูงประมาณ 1 ฟุต กิ่งแตกออกมาก ใบกว้าง 2-3 นิ้ว ยาว 4-5 นิ้ว ดอกจะออก 1-3 ดอก ตรงจุดรวมของใบที่สาม ผลมีลักษณะชูตั้งตรง เส้นผ่าศูนย์กลาง 0.2-0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 1-1.5 เซนติเมตร ก้านผลยาวประมาณ 2 เซนติเมตร– พริกขี้หนูไร่ เป็นพริกที่มากในพื้นที่ไร่ในปริมาณมาก มีอายุมากกว่า 1 ปี สามารถเก็บผลได้หลายครั้ง มีลักษณะลำต้นใหญ่ และสูงกว่าพริกขี้หนูสวนที่ประมาณ 1-1.5 เมตร ลำต้นมีลักษณะแข็ง ใบมีขนาดเล็กกว่าพริกขี้หนูสวน ยาว 3-4 เซนติเมตร มีลักษณะเรียวแหลม แผ่น และขอบใบเรียบ ออกดอก 1-3 ดอก ก้านดอกยาวประมาณ 1.5 เซนติเมตร ผลมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 0.5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ซึ่งใหญ่ และยาวกว่าพริกขี้หนูสวนเล็กน้อย
พริกเป็นพืชในเขตร้อนหรือกึ่งร้อนที่ทนความแห้งแล้งได้ดีพอควร และสามารถปลูกได้ในดินแทบทุกชนิด แต่ดินที่เหมาะสมที่สุดคือ ดินร่วนปนทราย มีการระบายน้ำดี ไม่มีน้ำท่วมขังหรือชื้นแฉะ เพราะจะทำให้รากเน่าและตายได้อายุการปลูก ตั้งแต่ย้ายกล้าจนถึงเก็บเกี่ยว
- พริกชี้ฟ้า พริกมัน พริกเหลือง อายุประมาณ 70 –90 วัน
- พริกเล็กหรือพริกขี้หนู อายุประมาณ 60 -90 วัน
- พริกยักษ์ อายุประมาณ 60 – 80 วัน
ฤดูปลูกปลูกได้ตลอดปี แต่ปลูกได้ผลดีที่สุดระหว่างเดือน ตุลาคม-กุมภาพันธ์ เป็นช่วงที่เก็บผลผลิตในฤดูแล้งทำให้สะดวกในการตากแห้ง สำหรับการปลูกให้ได้ราคาสูงจะต้องปลูกในเดือนเมษายน-พฤษภาคม และสิงหาคม-กันยายนเป็นช่วงที่ปลูกพริกยากที่สุดการเตรียมเมล็ดพันธุ์ควรเลือกใช้พันธุ์พริกที่ตลาดมีความต้องการมีความเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม ปัจจุบันนิยมใช้พันธุ์ลูกผสมซูเปอร์ฮอท
สภาพที่เหมาะสมต่อการปลูก
1. อุณหภูมิ โดยพริกถือเป็นพืชที่ทนต่ออากาศร้อนได้ดี แต่ไม่ทนต่อสภาพอากาศหนาว อุณหภูมิที่ทำให้พริกเจริญเติบโต และติดดอก ติดผลได้ดีที่ตั้งแต่ 35 องศาเซลเซียส
2. ความชื้นดิน โดยพริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำปานกลาง เจริญเติบโตได้ดีในดินชุ่มชื้น และระบายน้ำดี เหี่ยวตายได้ง่ายในสภาพน้ำขัง ต้องรดน้ำ1-2ครั้งเช้าบ่ายในช่วง1-2เดือนจากนั้นรดน้ำทุกเช้า
3. แสง เป็นส่วนที่มีผลน้อยต่อพริกในประเทศไทย เนื่องจากช่วงแสงในบ้านเรามีมากกว่า 12 ชั่วโมง จึงเพียงพอต่อการเจริญเติบโตของพริก พริกต้องการแสงแดดส่องทั่วถึงทั้งต้นไม่มีร่มเงาซึ่งจะให้ผลผลิตสูงสุด
4. ความเป็นกรด-ด่างของดิน ซึ่งสภาพความเป็นกรด-ด่างของดินที่เหมาะสมต่อพริกจะอยู่ช่วงประมาณ 6-7 มีลักษณะเป็นกรดเล็กน้อย แต่สามารถทนต่อสภาพดินเค็มได้ดี แต่หากสภาพดินเป็นกรดจัดอาจปรับสภาพดินด้วยปูนขาวทุกครั้งก่อนปลูกแต่ทั้งนี้ขอแนะนำปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัวขุน ขี้หมูเนื้อ ขี้ไก่เนื้อและน้ำหมักชีวภาพเพื่อปรับสภาพดิน
5. ความอุดมสมบูรณ์ของดิน ซึ่งพริกมักเจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินที่มีความร่วนซุย มีอินทรีย์วัตถุ และระบายน้ำได้ดี รวมถึงแร่ธาตุอาหารไนโตรเจน ฟอสฟอรัส และโพแทสเซียมที่เป็นธาตุอาหารหลักและสารฉีดพ่นทางใบที่เป็นธาตุอาหารรองที่เพียงพอต้นพริกได้รับสารอาหารที่ครบถ้วนก็จะสมบูรณ์แข็งแรงติดดอกออกผลและต้านทานโรคได้ดี
วิธีการเพาะเมล็ดพริก
การเพาะเมล็ดพริกในแปลงเพาะชำ
1.ก่อนนำเมล็ดพันธุ์ไปเพาะ คัดเมล็ดพันธุ์ที่ไม่สมบูรณ์ออกโดยนำเมล็ดพันธุ์แช่น้ำสะอาดเมล็ดพันธุ์ที่เสียจะลอยน้ำแล้วคัดออก
2.นำไปแช่น้ำอุ่นที่อุณหภูมิประมาณ 50 องศาเซลเซียส เป็นเวลานานประมาณ 30 นาที
3. ใช้สาหร่ายผงในอัตราส่วน10กรัม/น้ำ20ลิตร เชื้อราไตรโครเดอร์มา 200ซีซี/น้ำ20ลิตร สารจับใบสำหรับชีวภัณฑ์ 2ซีซี/น้ำ20ลิตร ผสมเข้าด้วยกันนำเมล็ดพริกลงแช่นาน18คืนก่อนนำไปเพาะกล้า
4.การเพาะเมล็ดพันธุ์ในแปลงนำเมล็ดพันธุ์หว่านให้กระจายทั่วทั้งแปลงเพาะ หรือโรยเมล็ดเป็นแถวลงไปในร่องลึก 0.6–1 ซม. ห่างกันแถวละประมาณ 10 ซม. กลบด้วยปุ๋ยหมักที่สลายตัวดีแล้วหรือดินผสมละเอียดรดน้ำให้ชุ่มเสมอ คลุมด้วยฟางแห้งหรือหญ้าแห้งบางๆ รดด้วยน้ำเชื้อราไตรโคเดอร์มาที่ผสมตอนแช่เมล็ดพริก
5.เมื่อกล้าเริ่มงอกมีใบจริงอายุประมาณ 12–15 วัน ถอนแยกต้นที่ไม่สมบูรณ์หรือต้นที่ขึ้นเบียดกันแน่นเกินไปทิ้งให้มีระยะห่างกันพอสมควรและควรให้ใช้สารสกัดขยายเซลพืชเสริมทางใบเพื่อให้ต้นกล้าเจริญเติบโตและแข็งแรง เมื่อต้นกล้าอายุ 30–40 วัน จึงย้ายลงปลูกในแปลงใหญ่ได้
การเพาะเมล็ดพันธุ์ในกระบะเพาะการเพาะในถาดหลุมมีวัสดุเพาะเมล็ดเป็นส่วนผสมสำเร็จรูปที่อุ้มน้ำได้พอเหมาะ แต่ละถาดมี104 หลุม วัสดุเพาะ
เมล็ดพริก1 กรัมมีประมาณ200-250เม็ด ใส่ถาดเพาะได้2ถาด เทคนิคการเพาะที่ทำให้ต้นกล้าแข็งแรงสมบูรณ์ก่อนย้ายปลูกจะต้องเพาะเมล็ดให้งอกก่อนในวัสดุเพาะอย่างอื่นเช่นทรายผสมแกลบดำ พีทมอสและขุยมะพร้าวเมล็ดจะงอกใช้เวลาประมาณ 10-12 วัน หลังจากนั้นจึงย้ายไปปลูกในวัสดุเพาะสำเร็จรูปที่อยู่ในถาดเพาะใช้เวลาอีก 14-18 วันจึงนำต้นกล้าย้ายปลูกได้
การเตรียมดินปลูกการเตรียมดินปลูกพริกนั้น ควรพิจารณาความแตกต่างตามสภาพของดินและระดับน้ำดังนี้ คือ
1. การเตรียมดิน ควรขุดหรือไถดินให้ลึกประมาณ 15 ซม. ตากดิน 5-7 วัน ใส่ปุ๋ยหมักหรือปุ๋ยคอกที่สลายตัวแล้วประมาณ 20 กก. ต่อเนื้อที่ 5 ตารางเมตร ใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาและสารสกัดฮิวมิคผงผสมน้ำฉีดพ่นให้ทั่วแปลงปลูกเพื่อป้องกันเชื้อราโรคพืชที่อยู่ในดินจากนั้น พรวนย่อยผิวหน้าดินให้ละเอียด
2. การเตรียมดินปลูกในเขตอาศัยน้ำฝน ต้องพิจารณาเลือกที่ซึ่งระบายน้ำได้ดี การกำหนดแถวปลูกให้กำหนดแถวคู่ห่างกัน 1.20 ม. และให้ระยะระหว่างแถวห่างกัน 0.50 ม. ระยะระหว่างต้น 0.50 X 0.50 ม. เมื่อเตรียมแปลงปลูกแล้วให้ใส่ปุ๋ยหมักหรือขี้วัวขุนหรือขี้หมูเนื้อ ในอัตราไร่ละ 1,200 – 3,000 กก. ทำการคลุกปุ๋ยคอกให้เข้ากับดินแล้วใส่ปุ๋ยเคมีสูตร 15-15-15 ในอัตรา 50 กก. ต่อไร่ ในการปลูกพืชที่ต้องการปริมาณน้ำหรือพืชชอบน้ำนั้นเกษตรกรต้องทำการยกร่องแปลงเสมอเพื่อป้องกันน้ำขังบริเวณโคนต้น และการปลูกพริกก็เช่นเดียวกัน
การยกแปลงปลูกพริก
แปลงที่ใช้ปลูกควรไม่เสี่ยงต่อน้ำท่วม และสามารถระบายน้ำได้ดีหากฝนตก ซึ่งให้เตรียมแปลง ดังนี้
1.หากเป็นแปลงใหม่ ควรไถตากดินพร้อมกำจัดวัชพืช นาน 1 สัปดาห์
2.ทำการหว่านปุ๋ยอินทรีย์หรือปุ๋ยหมักในอัตรา 2-3 ตัน/ไร่ หากดินเป็นกรดควรใส่ปูนขาว 100-200 กิโลกรัม/ไร่ พร้อมไถกลบยกร่องแปลงสูง 20-30 เซนติเมตร กว้าง 40-60 เซนติเมตร
3.แปลงกว้างขนาด 30-50 สำหรับปลูกแถวเดี่ยว แปลงกว้าง 80-100 สำหรับปลูกแถวคู่ ขึ้นอยู่กับทรงพุ่มของแต่ละพันธุ์
4.ปรับระดับแปลง พร้อมกำจัดวัชพืช และตากดินพร้อม 2-3 วัน
วิธีการปลูก
เมื่อต้นกล้ามีอายุ 30-40 วัน สูงประมาณ 15-20 เซนติเมตร มีใบจริง 5-7 ใบ และให้งดน้ำต้นกล้า 2-3 วันก่อนย้ายปลูก โดยมีขั้นตอนปลูก ดังนี้
1.ขุดหลุมในระยะห่างระหว่างหลุม 50-80 เซนติเมตร ขึ้นอยู่กับทรงพุ่มของแต่ละพันธุ์
2.นำกล้าที่ถอนเตรียมไว้ลงหลุมปลูก ปลูกให้ลึกพร้อมพร้อมกลบดินให้แน่นพอประมาณเพื่อกันต้นกล้าโยกเอียง
3.รดน้ำให้ชุ่ม และรดทุกวัน วันละ 1-2 ครั้ง
การปฏิบัติดูแลรักษา
1. การให้น้ำพริกเป็นพืชที่ต้องการน้ำอย่างเพียงพอ และสม่ำเสมอในช่วงแรกของการเจริญเติบโตดินควรมีความชุ่มชื้นพอดีอย่าให้เปียกแฉะเกินไปจะทำให้ต้นพริกเหี่ยวตายได้ ในช่วงเก็บผลผลิตควรลดการให้น้ำเพื่อจะทำให้คุณภาพผลผลิตดี สีของผลสวยน้ำควรเป็นน้ำสะอาดหรือผ่านบ่อพักน้ำปกติแล้วเกษตรกรมักจะใช้น้ำในแม่น้ำลำคลองซึ่งมีการปนเปื้อนของสารเคมีหรือเชื้อโรคพืชต่างๆเข้ามาใช้ในแปลงผักในสมัย10หรือ20ปีที่ผ่านมาเป็นเรื่องที่ทำได้แต่ในปัจจุบันระบบต่างๆเปลี่ยนแปลงไปน้ำมีการปนเปื้อนทั้งสารเคมีและเชื้อโรคพืช ลักษณะน้ำที่มีกลิ่นเหม็นเป็นต้น
การให้น้ำทำให้2วิธี
1.1การให้น้ำด้วยระบบสปริงเกอร์ เป็นวิธีที่เกษตรกรใช้กันมาช้านาน เป็นสปริงเกอร์แบบใบพัดหมุนวน
ข้อดีคือน้ำกระจายตัวไปทั่วแปลงจ่ายปริมาณน้ำได้สูงใช้เวลาสั้นในการให้น้ำสร้างความชุ่มชื้นให้ต้นพริกและแปลงปลูกและยังช่วยไล่แมลงศัตรูพืชได้อีกด้วย
ข้อเสียคือ เกิดเชื้อโรคพืชได้ง่ายเนื่องจากความชื้นหลีกเลี่ยงการรดน้ำต้นพริกตอนเย็น และในกรณีที่แหล่งน้ำไม่สะอาดมีการปนเปื้อนของสารเคมีจากแหล่งน้ำก็จะมีผลต่อต้นพริก
1.2มินิสปริงเกอร์แบบหัวฉีดฝอย ระบบนี้เหมาะกับการปลูกพริกต้นคู่ในแปลงปลูกเดินท่อpeตรงกลางแถวคู่และเปิดจ่ายน้ำผ่านหัวมินิสปริงเกอร์แบบฉีดฝอยรัศมีความกว้างของน้ำสามารถควบคุมได้โดยแรงดันจากปั๊มน้ำระบบนี้สามารถปล่อยปุ๋ยไปพร้อมกับระบบน้ำได้
ระบบนี้ค่อนข้างจะเป็นที่นิยมเนื่องจากเป็นการสร้างความชื้นให้ทั่วหน้าดินและรดใต้ทรงพุ่มเท่านั้น ข้อเสียคือต้องใช้เวลาในการให้น้ำนานการระบบสปริงเกอร์แบบใบพัดและหัวฉีดอุดตันได้ง่ายกว่าดังนั้นน้ำที่ใช้ต้องผ่านระบบกรองที่ดีพอสมควรไม่มีเศษใดๆหรือลูกปลาลูกกุ้งเข้ามาในระบบการให้น้ำ
ในที่นี้ไม่แนะนำระบบน้ำหยดในการปลูกพริก
2. การกำจัดวัชพืช ในระยะที่ต้นพริกยังเล็กควรมีการกำจัดวัชพืชให้บ่อยครั้ง หากวัชพืชคลุมต้นพริกช่วงระยะการเจริญเติบโต จะทำให้แคระแกร็นคุณภาพผลผลิตไม่ดี การกำจัดวัชพืชอาจใช้สารเคมีเท่าที่จำเป็นขอแนะนำกรัมม็อกโซนยาฆ่าหญ้าฉีดกดหัวต่ำๆหน้าดินที่มีวัชพืชหรือใช้แรงงานคนถอนหรือหาวัสดุคลุมหน้าดินเช่นฟางหรือหญ้าแห้งหรือแกลบเป็นต้น
3. การใส่ปุ๋ย พริกเป็นพืชที่มีอายุการเก็บผลค่อนข้างยาวนาน ปุ๋ยที่ใช้ควรเป็นปุ๋ยที่มีธาตุอาหารครบเช่น ปุ๋ยสูตร 15-15-15 หรือ 13-13-21 ในอัตรา 25-50กก.ต่อไร่ขึ้นกับความอุดมสมบูรณ์ของดิน เพื่อเป็นการช่วยเสริมการเจริญเติบโตนอกจากนี้ควรใส่ปุ๋ยน้ำทางใบบ้างโดยทำการฉีดพ่นทุกครั้งหลังการเก็บเกี่ยว การใช้ปุ๋ยเคมีจะได้ผลต่อพืชสูงสุดขึ้นอยู่กับสภาพและคุณสมบัติของดินโดยเฉพาะ pH ความชื้นและระยะการเจริญเติบโตของพืชอีกทั้งปริมาณอินทรียวัตถุที่อยู่ในดินซึ่งจะต้องมีอย่างเหมาะสมอย่างเช่นถ้าดินเป็นกรดต้องใช้ปูนขาวช่วยปรับสภาพดินให้มี pH ค่อนข้างเป็นกลาง การใส่ปุ๋ยมีลงในดินจำเป็นต้องมีความชื้นอย่างเพียงพอถ้าไม่เช่นนั้นปุ๋ยเคมีไม่ละลายจะไม่เป็นประโยชน์ต่อพืชเลยบางครั้งอาจใช้วิธีละลายปุ๋ยเคมีด้วยน้ำให้มีความเข้มข้นพอดีปกติจะใช้ปุ๋ยเคมีประมาณ 100 กรัมต่อน้ำ 20 ลิตรแล้วนำไปรดซึ่งจะเป็นการประหยัดปุ๋ยอย่างมากการใส่ปุ๋ยควรแบ่งใส่ 2 ครั้ง ใส่ครั้งแรกปริมาณครึ่งหนึ่งก่อนปลูกเป็นปุ๋ยรองพื้นพรวนกลบลงในดินโรยปุ๋ยไนโตรเจนใส่ข้างต้นพริกห่างจากโคนพริกประมาณ 2 นิ้ว เมื่ออายุ 10 -14 วัน หลังจากย้ายกล้า ใส่ครั้งที่สองปริมาณอีกครึ่งหนึ่งที่เหลือใส่โรยข้างแล้วแต่งหน้าด้วยปุ๋ยไนโตรเจนพรวนกลบลงในดิน
หรืออีก1สูตรคือ การให้ปุ๋ย ระยะ 1 เดือนแรก ก็ให้ปุ๋ยทางดินร่วมกับทางใบเป็นหลัก โดยการให้ทางดินก็ให้สูตร 46-0-0 สลับกับ 15-0-0 หรือ 15-15-15ในเดือนแรกในอัตรา5กิโลกรัมต่อ/ไร่/ครั้งแต่ไม่เกิน10กิโลกรัมต่อ/ไร่/ครั้งห่างกัน 7 วัน ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 30-20-10 เพื่อเร่งการเจริญเติบโต ในอัตรา 10 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ระยะเดือนที่ 2-3 ระยะนี้พริกมีอายุ30-90 วันซึ่งมีการติดผลของพริกในชุดแรกธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิม ทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ส่วนทางใบใช้สารสกัดขยายเซลพืชเพื่อเพิ่มธาตุแคลเซียมในช่วงติดผลเล็กและช่วยในการเร่งดอกติดผล ในอัตรา 30กรัม/ น้ำ 20 ลิตรระยะเดือนที่ 4-6 ระยะนี้พริกมีอายุ 120-180 วันซึ่งมีการเก็บผลผลิตของพริกในชุดแรกเก็บได้มากธาตุอาหารทางดินและทางใบยังจำเป็นเหมือนเดิมทางดินใช้สูตร 15-15-15 สลับ 13-13-21 ร่วมกับปุ๋ยหมักแห้งผสมเชื้อไตรโคเดอร์มาสด อัตรา 1 : 25 ส่วนทางใบใช้สูตร 20-20-20 สลับ 10-20-30 ในอัตรา 30 กรัม/น้ำ 20 ลิตร ให้ปุ๋ยทุกครั้งหลังเก็บผลผลิตจำหน่าย
แต่ทั้งนี้ขอแนะนำให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีเท่าที่จำเป็นเนื่องจากปุ๋ยเคมีจะสร้างความเป็นกรดให้กับดินและมีผลเสียในระยะยาว ปุ๋ยที่ดีและมีธาตุอาหารหลักและอาหารรองครบคือปุ๋ยอินทรีย์ เช่น ขี้วัวขุน ขี้หมูขุน ขี้ไก่เนื้อ ปุ๋ยหมัก เป็นต้นซึ่งจะปลดปล่อยสารอาหารได้แบบต่อเนื่องที่สำคัญรสชาดของพืชผักจะให้คุณภาพที่ดีมากกว่าใช้ปุ๋ยเคมี
5. การเก็บเกี่ยว
- หลังจากปลูก 70-75 วัน
- เก็บเกี่ยว 15-18 วันครั้ง ( 10-12 ครั้ง /รุ่น)
- ก่อนเก็บเกี่ยว 7 วัน ใส่ปุ๋ยสูตร 15-15-15 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ ต่อต้น ทำให้ต้นสมบูรณ์
แตกยอด ออกดอก
- หลังจากเก็บเกี่ยว 4-5 ครั้ง ใส่ปุ๋ยสูตร 13-13-21 อัตรา 1 ช้อนโต๊ะ/ต้น เพื่อเพิ่มผลผลิต
- ฉีดฮอร์โมนหลังการเก็บเกี่ยว แต่ละครั้ง เพื่อให้การแตกยอด ออกดอก ติดผล ดี
- ค่าเก็บเกี่ยว กิโลกรัมละ 8 -10 บาท ขึ้นอยู่กับราคาพริก
5. ผลผลิต เฉลี่ย ไร่ละ 2200-2500 ก.ก/ไร่
6. ต้นทุนการผลิต เฉลี่ย 12,000 - 13,000 บาท ต่อไร่
3. การป้องกันกำจัดศัตรูพริกนอกจากการให้น้ำ การใส่ปุ๋ย หรือการกำจัดวัชพืชแล้ว ยังมีศัตรูพริกต่างๆ ที่มีอิทธิพลต่อผลผลิตการปลูกพริกเป็นอย่างมาก ซึ่งศัตรูพริกที่สำคัญที่พบได้โดยทั่วไปมี ดังนี้
1.แมลงพบระบาดในพริกบ่อยๆ คือ
1.1.เพลี้ยไฟ ชื่อวิทยาศาสตร์Scirtothrips dosalis Hood รูปร่างลักษณะและชีวประวัติเป็นแมลงขนาดเล็ก ลำตัวแคบยาว มีความยาวประมาณ 1-2 มม. ตัวเต็มวัยมีสีน้ำตาลปนเหลือง ขอบปีกมีขนเป็นแผง เพลี้ยไฟมักพบอยู่บนใบและยอดอ่อนอีกทั้งพบบริเวณฐานดอก และขั้วผลอ่อน ขณะที่หากินไม่ชอบเคลื่อนย้ายตัว และเมื่อมีการกระทบกระเทือนจะเคลื่อนไหวรวดเร็ว มีการขยายพันธุ์ทั้งแบบผสมพันธุ์และไม่ต้องผสมพันธุ์ ตัวเมียมีอายุประมาณ 15 วัน และได้รับการผสม จะออกไข่ได้ประมาณ 40 ฟอง ตัวเมียที่ไม่ผสมพันธุ์ออกไข่ได้ประมาณ 30 ฟอง วงจรชีวิตจากไข่ถึงตัวเต็มวัยประมาณ 15 วัน ระยะไข่ 4 -7 วัน ตัวอ่อนวัยที่1-2 วัน วัยที่ 2-4 วัน วัยที่ 3 ฟักตัว 3 วัน จึงเป็นตัวเต็มวัยสมบูรณ์การทำลาย เพลี้ยไฟจะระบาดมากในฤดูแล้ง หรือเมื่อมีฝนทิ้งช่วงเป็นระยะเวลานาน โดยจะทำลายใบอ่อนและตาดอก ลักษณะการทำลายใบจะห่อปิด ขอบใบม้วนขึ้นข้างบน ลำต้นแคระแกร็น ไม่เจริญเติบโตและจะทำลายผลพริกให้หงิกงอไม่ได้คุณภาพรูปร่างลักษณะ เพลี้ยไฟเป็นแมลงขนาดเล็ก สีน้ำตาลอ่อน ลำตัวผอมยาว มีขนาด 1.0 มิลลิเมตรหากดูด้วยตาเปล่าจะต้องใช้ความสังเกตเป็นพิเศษจึงจะมองเห็นได้ ตัวแก่มีปี ก 2 คู่เรียวยาวประกอบด้วยขนเส้นเล็ก ตัวอ่อนจะยังไม่มีปีกและมีขนาดเล็กกว่าตัวแก่ ตัวแก่เคลื่อนไหวได้เร็วการป้องกันกำจัด เพลี้ยไฟชอบหลบอยู่ตามใต้ใบ ตามซอกยอดอ่อนในดอก เวลาพ่นควรใช้เครื่องมือที่สามารถพ่นได้อย่างทั่วถึงการเลือกยาที่เหมาะสมควรทำดังนี้คือ ถ้าปลูกพริกในแหล่งที่มีการระบาดมานาน ควรเลือกใช้ยาที่ทำลายได้เฉพาะ เช่น อิมิดาคลอพิด (โปร)ซึ่งควรใช้ในช่วงที่แมลงระบาดรุนแรงในสวนเกษตรอินทรีย์สามารถที่จะใช้สารชีวภัณฑ์ บิวเวอร์เรีย บาเซียน่าจัดการกับเพลี้ยไฟได้ดี หรือใช้ระบบให้น้ำแบบสปิงเกอร์ช่วยในการไล่แมลงหรือไข่แมลง
1.2.แมลงวันพริก (Dacus latifon) เป็นแมลงศัตรูพริกที่มีความสำคัญมากถ้ามีการระบาดสามารถทำลายผลผลิตให้เกิดความเสียหายได้มากถึง 60-100% เพศเมียวางไข่ที่ผลพริกเมื่อไข่ฟักออกมาจะทำให้ผลพริกเน่าเสียและร่วงหล่น การป้องกันกำจัดเก็บผลพริกที่ร่วงหล่นทำลายโดยการแช่น้ำไว้1-2 คืนแล้วนำไปทำปุ๋ยหมัก ใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ ถ้าจำเป็นจริงจึงควรใช้สารเคมี เช่น อิมิดาโคพิด(โปร) ผสมน้ำพ่นในแปลงพริกช่วง พริกติดผล
1.3.เพลี้ยอ่อนพริกเป็นแมลงปากดูดชนิดหนึ่งที่ขยายพันธุ์ได้รวดเร็วป้องกันกำจัดพ่นด้วยปิโตรเลียมออย หรือเชื้อราบิวเวอร์เรียกำจัดได้
1.4.แมลงหวี่ขาวพริก
เป็นแมลงปากแทงดูดเป็นพาหะนำโรคไวรัสมาสู่ต้นพืชควรรีบป้องกันกำจัดเช่นเดียวกับเพลี้ยอ่อนพ่นด้วยปิ โตรเลียมออย ใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ ลักษณะการทำาลายของแมลงวันพริกตัวเต็มวัยใช้อวัยวะวางไข่แทงเข้าไปในผลพริกและวางไข่หลังจากนั้นหนอนจะฟักออกจากไข่และกัดกินอยู่ภายในผลพริกทำาให้ผลพริกเน่าเสีย
1.5ไรขาว
การทำลาย ไรขาวจะพบว่ามีการระบาดในช่วงฤดูที่มีการปลูกพริกกันมาก โดยไรขาวจะเข้าทำลายที่ยอดก่อน เมื่อเป็นหลายๆ ยอดจะดูเป็นพุ่มใบพริกจะหงิกงอ ใบอ่อนหยาบย่นหรือเป็นคลื่นขอบใบม้วนลงทางด้านล่าง ใบจะค่อยๆ ร่วง และยอดจะตายไปในที่สุดรูปร่างลักษณะ ไรขาวเป็นสัตว์จำพวกเดียวกับแมงมุม มี 8 ขา ตัวกลม มีสีขาวผิวลำตัวใสขนาดเล็กมาก สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า แต่ถ้าจะดูให้ชัดเจนมีรายละเอียดมากขึ้นต้องใช้แว่นขยายมักจะชอบอาศัยอยู่ตามใบอ่อนหรือตาดอกการป้องกันกำจัด หมั่นตรวจดูแปลงพริกเสมอๆ เมื่อพบไรขาวในปริมาณมากให้รีบกำจัดด้วยสารเคมี เคลเทนหรือไดโฟคอล และเลบโตฟอส หรือฟอสเวล เป็นต้น แต่ถ้าตรวจพบว่ามีการระบาดของเพลี้ยไฟ และไรขาวพร้อมกัน ควรใช้สารเคมีกำจัดของทั้งสองชนิดฉีดพ่นพร้อมกันเลย จะได้ผลสมบูรณ์ขึ้นหรือใช้กำมะถันที่อยู่ในรูปผงผสมน้ำพ่น 2-3ครั้งห่างกัน 7 วัน ถ้ายอดอ่อนปกติหยุดพ่นหรือใช้เชื้อรา เมทาไรเซียม+พาซิโลมัยซิส+บิวเวอร์เรีย พ่นเป็นประจำ
โรค โรคที่เกิดจากเชื้อรา แล้วมีผลเสียหายต่อการปลูกพริกที่พบได้ในขณะนี้ มีดังนี้
1. โรคกุ้งแห้งหรือแอนแทรคโนสในพริก มีสาเหตุมาจากเชื้อรา พบระบาดมากในระยะที่ผลผลิตพริกกำลังเจริญเติบโตการทำลาย โรคกุ้งแห้งจะเห็นได้ชัดเจนบนผลพริกที่แก่จัดหรือสุก อาการเริ่มแรกจะเห็นเป็นจุดสีน้ำตาล ช้ำเนื้อเยื่อบุ๋มไปจากเดิมเล็กน้อยและจุดสีน้ำตาลจะค่อยๆ ขยายวงกว้างออกเป็นแผลวงกลมหรือวงรีโดยมีขนาดแผลไม่จำกัด จะทำให้ผลพริกเน่า และจะระบาดติดต่อกันอย่างรวดเร็วการป้องกันกำจัดก่อนปลูกนำเมล็ดพันธุ์มาล้างน้ำให้สะอาด แล้วแช่ในน้ำผสมเชื้อราไตรโคเดอร์มา1ชั่วโมง
2. โรคเหี่ยวเขียวของพริกจากเชื้อราหรือโรคหัวโกร๋นการทำลาย โรคนี้จะแตกต่างจากอาการเหี่ยวที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย โดยอาการเหี่ยวจากเชื้อราจะเริ่มจากใบล่างก่อน แล้วจึงค่อยแสดงอาการที่ใบบน ต่อมาใบที่เหลืองจะเหี่ยวลู่ลงดินและร่วง ต้นพริกจะแสดงอาการในระยะผลิดอกออกผล ฉะนั้น อาจทำความเสียหายต่อดอกและลูกอ่อนด้วย เมื่อตัดดูลำต้นจะพบว่าเนื้อเยื่อท่อลำเลียงอาหารเป็นสีน้ำตาล หรือน้ำตาลไหม้ แสดงว่าต้นจะเหี่ยวตายในที่สุด
การป้องกันกำจัด
1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุก10วัน โดยฉีดพ่นทั้งต้นและเน้นที่บริเวณดินรอบๆโคนต้นพริก
2. ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ให้มากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันดินเป็นกรด และเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน
3. ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
4.ในกรณีที่มีบ้างต้นเริ่มเป็นให้ใช้ แมกมา แบคทีเรียกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อแบคทีเรียฉีดพ่น3ครั้งติดต่อกันห่างกัน3วันให้ทั่วแปลงพริก แต่โดยปกติในกรณีที่เกษตรกรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมป้องกันโรคพืชเป็นประจำอยู่แล้วโรคเหี่ยวเขียวในพริกจะไม่เกิดขึ้น
3. โรคโคนเน่าหรือต้นเน่าการทำลาย ใบจะเหลืองและร่วง โคนต้นและรากจะเน่าเปื่อยเป็นสีน้ำตาล ต้นพริกจะเหี่ยวตาย แต่จะระบาดมากในระหว่างที่มีการผลิดอกออกผล อาการของโรคเน่าหรือต้นเน่านี้จะแตกต่างกับโรคพริกหัวโกร๋นคือ ยอดจะไม่หลุดร่วงไป
การป้องกันกำจัด
1. ฉีดพ่นเชื้อราไตรโคเดอร์มาทุก10วัน โดยฉีดพ่นทั้งต้นและเน้นที่บริเวณดินรอบๆโคนต้นพริก
2. ควรใช้ปุ๋ยอินทรีย์เช่น ขี้วัว ขี้หมู ขี้ไก่ ให้มากกว่าปุ๋ยวิทยาศาสตร์ เพื่อป้องกันดินเป็นกรด และเป็นการปรับปรุงบำรุงดิน
3. ปรับปรุงดินให้ร่วนซุย มีการระบายน้ำดี
4.ในกรณีที่มีบ้างต้นเริ่มเป็นให้ใช้ บีเอส บอบม์ แบคทีเรียกำจัดโรคพืชที่เกิดจากเชื้อราฉีดพ่น3ครั้งติดต่อกันห่างกัน3วันให้ทั่วแปลงพริก แต่โดยปกติในกรณีที่เกษตรกรใช้เชื้อราไตรโคเดอร์มาควบคุมป้องกันโรคพืชเป็นประจำอยู่แล้วโรคเหี่ยวเขียวในพริกจะไม่เกิดขึ้น
การเก็บพริกทำพริกแห้งควรเลือกเก็บพริกที่แก่จัดสีแดงสดตลอดทั้งผล ปราศจากโรคแมลง เข้าทำลายแล้วรีบนำไปทำให้แห้งโดยเร็วจะทำให้ได้พริกแห้งที่มีสีสวยและคุณภาพดีการทำพริกแห้งให้มีสีสวยคุณภาพดี มีหลายวิธีดังนี ้
1. การตากแดด คือการนำพริกที่คัดเลือกแล้วน ามาตากแดดโดยตรง แผ่พริกบางๆ บนเสื่อ หรือพื้นบานซีเมนต์ที่สะอาด โดยตากแดดทิ้งไว้ 5 –7 แดด
2. การอบด้วยไอร้อน คือการนำพริกเข้าอบด้วยอำร้อนในเตาอบโดยวางพริกบนตระแกรง แล้ววางตะแกรงเรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ วิธีนี้เหมาะสำหรับเกษตรกรที่ปลูกพริกเป็นจำนวนมาก และการทำพริกแห้งในช่วงฤดูฝน
3. การลวกน้ำร้อน คือ การนำพริกไปลวกน้ำร้อนก่อน โดยลวกนาน 15 นาที แล้วนำไปตากแดดประมาณ 5 แดด วิธีนี้จะทำให้สีของพริกแห้งสวย และไม่ขาวด่าง
4. การอบพริกด้วยโรงอบพลังแสงอาทิตย์ เป็นวิธีที่ทำให้ได้พริกที่มีคุณภาพดี สีสวย ก้านพริกแห้งสีทองไม่ดำ สะอาดไม่มีฝุ่นจับอบได้ครั้งละ 400 กก. ใช้เวลาอบประมาณ 3 วัน
5. ในกรณีที่เก็บพริกแก่จัด แต่ไม่แดงตลอดทั้งผลให้นำพริกใส่รวมกันในเข่งหรือกระสอบปุ๋ยบ่มไว้ในที่ร่มประมาณ 2 คืน เพื่อทำให้พริกสุกสม่ำเสมอกัน หลังจากนั้นทำให้แห้งได้ตามกรรมวิธีข้อ 1 – 4